ACE โชว์ผลงาน Q3/63 สุดเจ๋ง กำไรสุทธิเพิ่ม 80% กำไรกิจกรรมปกติทุบสถิติสูงสุดในรายไตรมาส คาดทั้งปี 63 กำไรโตโดดเด่นมาก พร้อมเล็งซื้อโรงไฟฟ้าเพิ่มเร่งการเติบโต

ACE เผยกำไรสุทธิในไตรมาส 3/2563 อยู่ที่ 410 ล้านบาท โต 80% จากงวดเดียวกันปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิจากกิจกรรมปกติ 375 ล้านบาท ทำ New High เมื่อเทียบรายไตรมาส ผลจากการปรับปรุงการบริหารจัดการการเดินเครื่องโรงไฟฟ้า การซ่อมบำรุง การควบคุมต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งเริ่มรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าชีวมวล 1 โครงการ จาก 3 โครงการ ที่เพิ่งซื้อกิจการเมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2563 โดยคาดกำไรสุทธิและกำไรสุทธิจากกิจกรรมปกติในไตรมาส 4/2563 จะเติบโตดีต่อเนื่อง หนุนให้กำไรทั้งปี 2563 จะเติบโตโดดเด่นมาก พร้อมเล็งซื้อกิจการโรงไฟฟ้าเพิ่ม หนุนให้ผลประกอบการขยายตัวต่อเนื่องในระยะยาว

นายธนะชัย บัณฑิตวรภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ACE ผู้นำด้านธุรกิจพลังงานสะอาดของไทย เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2563 ว่ามีรายได้จากการขายและบริการ 1,183 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.5% จากงวดเดียวกันปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 1,143 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 3.8% จากไตรมาส 2/2563 ซึ่งอยู่ที่ 1,140 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิ 410 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 80% จากงวดเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 64% จากไตรมาส 2/2563 ส่วนกำไรสุทธิจากกิจกรรมปกติ (Core Profit) อยู่ที่ 375 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60% จากงวดเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาส 2/2563

“ไตรมาส 3/2563 ACE มี Core Profit ที่เป็น New High ทำลายสถิติเดิมที่เพิ่งทำไว้เมื่อไตรมาสที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ 354 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการที่เราได้ปรับปรุงและพัฒนาการบริหารจัดการการเดินเครื่องโรงไฟฟ้า การซ่อมบำรุง และการควบคุมต้นทุนการผลิต ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเริ่มรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าชีวมวล 1 โครงการ จากจำนวนโรงไฟฟ้าชีวมวล 3 โครงการ ที่เพิ่งซื้อและรับโอนเข้ามาเมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2563 ซึ่งเป็นการรับรู้รายได้ที่ยังไม่เต็มไตรมาส” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ACE กล่าว

ส่วนโรงไฟฟ้าชีวมวลอีก 2 โครงการที่ซื้อมาพร้อมกันนั้น ตั้งแต่รับโอนมายังไม่ได้เดินเครื่อง เนื่องจากยังอยู่ในช่วงการปรับปรุงเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิการผลิตให้เป็นไปตามแผนที่ได้วางไว้ตั้งแต่ตอนตัดสินใจเข้าซื้อกิจการ คาดว่าน่าจะปรับปรุงแล้วเสร็จและเริ่มเดินเครื่องจำหน่ายไฟฟ้าได้ภายในไตรมาส 4 ปีนี้

เมื่อเดือนสิงหาคม 2563 ACE ได้เข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าชีวมวลที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว 3 โครงการ จากบริษัท เอื้อวิทยา จำกัด (มหาชน) หรือ UWC โดยเป็นโรงไฟฟ้าชีวมวลที่ตั้งอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา 1 โครงการ และตั้งอยู่ที่จังหวัดบุรีรัมย์ 2 โครงการ รวมกำลังการผลิตติดตั้ง 26.9 เมกะวัตต์ มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จำนวน 22.5 เมกะวัตต์

นายธนะชัย กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/2563 คาดว่าทั้งรายได้จากการขายและบริการ กำไรสุทธิรวมถึงกำไรสุทธิจากกิจกรรมปกติ ยังมีทิศทางที่ดีเช่นเดียวกับไตรมาส 3/2563 โดยในไตรมาส 4/2563 อาจมีผลประกอบการของโรงไฟฟ้าใหม่ๆ เข้ามาช่วยหนุนให้ผลประกอบการเติบโตมากยิ่งขึ้น ได้แก่ การรับรู้รายได้ของโรงไฟฟ้า ชีวมวล 3 โครงการที่ซื้อมาจาก UWC ซึ่งในส่วนของโรงไฟฟ้าชีวมวลที่นครราชสีมาจะรับรู้รายได้เต็มไตรมาส นอกจากนี้ยังจะเริ่มรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าชีวมวล 2 โครงการที่จังหวัดบุรีรัมย์ด้วย รวมทั้งโรงไฟฟ้าขยะชุมชนที่จังหวัดกระบี่ ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยแต่เดิมนั้นคาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ในไตรมาส 1 ปี 2564 แต่ล่าสุดการก่อสร้างคืบหน้าไปกว่าแผนเดิมมาก จึงมีโอกาสที่จะ COD ได้ทันภายในปีนี้ ซึ่งถือเร็วกว่าแผนเดิม 1 ไตรมาส

ทั้งนี้ จากการที่ตัวเลขกำไรสุทธิงวด 9 เดือนของปีนี้ ACE ทำได้แล้วกว่า 1,254 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิของ ปี 2562 ทั้งปีอยู่ที่ 815 ล้านบาท ดังนั้นจึงประเมินว่าในปี 2563 นี้ กำไรสุทธิ ACE จะเติบโตอย่างโดดเด่นมาก

“การเข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าชีวมวลจาก UWC จะทยอยรับรู้รายได้อย่างเต็มที่มากขึ้นในไตรมาสต่อๆ ไป บวกกับเรายังมีดีลซื้อกิจการโรงไฟฟ้าหลากหลายประเภททั้งในประเทศและต่างประเทศอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบสถานะ (Due Diligence) และการเจรจา ทำให้ในอนาคตเราน่าจะได้เห็นการรับรู้รายได้ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากโครงการโรงไฟฟ้าต่างๆ ที่บริษัทฯ ซื้อมาและที่จะซื้อเพิ่มอีกในอนาคต อย่างไรก็ดี โครงการโรงไฟฟ้าต่างๆ ที่บริษัทฯ จะซื้อเข้ามาเพิ่มนั้น จะพิจารณาความคุ้มค่าของการลงทุนเป็นหลักสำคัญ เพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อซื้อมาแล้ว จะทำให้ผลประกอบการของ ACE เติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนในระยะยาว” นายธนะชัย กล่าว

ปัจจุบัน ACE มีโรงไฟฟ้าที่ COD แล้ว จำนวน 18 โครงการ มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 239.91 เมกะวัตต์ โดยในปี 2564 มีเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งรวมเป็น 449.27 เมกะวัตต์ และมีเป้าหมายที่จะให้กำลังการผลิตติดตั้งเพิ่มเป็น 1,000 เมกะวัตต์ ในปี 2567