ACE เคาะราคาขายสุดท้าย IPO ที่หุ้นละ 4.40 บาท ปลื้มนักลงทุนรายย่อยจองซื้อหุ้น IPO คับคั่ง โดยนักลงทุนสถาบันแสดงความต้องการจองซื้อล้น

บมจ. แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ (“บริษัทฯ” หรือ ACE) ปลื้มนักลงทุนรายย่อยให้การตอบรับจองซื้อหุ้น IPO อย่างคับคั่ง โดยนักลงทุนสถาบันแสดงความต้องการจองซื้อในช่วงการทำ Bookbuilding เข้ามาอย่างท่วมท้น เกินกว่าจำนวนหุ้นที่จัดสรรแก่นักลงทุนสถาบันมากกว่า 10 เท่า เดินหน้าเคาะราคาขายสุดท้ายหุ้น IPO ที่ราคาหุ้นละ 4.40 บาท ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น และเสนอขายหุ้นแก่นักลงทุนสถาบันในวันที่ 6 – 7 พฤศจิกายนนี้ คาดนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวันที่ 13 พฤศจิกายนนี้ ในหมวดทรัพยากร/พลังงานและสาธารณูปโภค ด้านผู้บริหารตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งเป็นกว่า 1,000 เมกะวัตต์ภายในปี 2567 และโชว์ผลการดำเนินงานย้อนหลังปี 2559 – 2561 เติบโตอย่างต่อเนื่อง

นางสาววีณา เลิศนิมิตร กรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด ในฐานะ Sole Bookrunner และผู้จัดการ การจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม เปิดเผยว่า หลังจาก บริษัท แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ACE ได้กำหนดช่วงราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ราคาหุ้นละ 4.00 – 4.40 บาท และเปิดให้นักลงทุนรายย่อยจองซื้อหุ้น IPO เมื่อวันที่ 1 และ 4 – 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ที่ราคา 4.40 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายดังกล่าว พร้อมกับสำรวจความต้องการจองซื้อหุ้น IPO ของนักลงทุนสถาบัน หรือ Bookbuilding

ในการจัดสรรหุ้นได้จัดสรรให้นักลงทุนสถาบันประมาณร้อยละ 60 และจัดสรรให้นักลงทุนรายย่อยประมาณร้อยละ 40 โดยนักลงทุนรายย่อยให้การตอบรับจองซื้อหุ้น IPO ในช่วงที่ผ่านมาอย่างคับคั่ง ขณะที่นักลงทุนสถาบันก็แสดงความสนใจเป็นจำนวนมาก โดยแสดงความต้องการจองซื้อที่ราคาสูงสุดหุ้นละ 4.40 บาท มากกว่าจำนวนหุ้นที่จัดสรรแก่นักลงทุนสถาบันกว่า 10 เท่า ล่าสุดจึงกำหนดราคาเสนอขายสุดท้ายหุ้น IPO ของ ACE ที่ราคา 4.40 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น พร้อมดำเนินการเสนอขายหุ้น IPO แก่นักลงทุนสถาบันในวันที่ 6 – 7 พฤศจิกายน 2562 และคาดว่าจะนำหุ้น ACE เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในหมวดทรัพยากร/พลังงานและสาธารณูปโภค ในวันที่ 13 พฤศจิกายน นี้ ทั้งนี้ นักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันได้ให้ความสนใจ ACE อย่างล้นหลาม เนื่องจาก ACE มีรายได้ที่แน่นอนจากสัญญาขายไฟฟ้าในระยะยาวให้ กฟภ. และ กฟผ. ตลอดจนมีอัตราการเติบโตของรายได้และผลกำไรที่โดดเด่น โดยมีโอกาสการเติบโตจากโครงการที่อยู่ใน pipeline ของบริษัทฯ เพิ่มอีกกว่า 200 เมกะวัตต์ภายในปี 2565 ทั้งนี้ ACE มีพื้นฐานทางธุรกิจ ที่แข็งแกร่ง ทั้งทางด้านเทคโนโลยี ประสบการณ์ บุคลากร เงินทุน และผลประกอบการ ที่โดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งยังมีการวิจัยและพัฒนา เพื่อลดต้นทุน และเพิ่มศักยภาพ ในการทำกำไรอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การประกอบธุรกิจของ ACE สอดคล้องกับ World Mega Trend ที่มุ่งเน้นพลังงานสะอาด รวมทั้งแนวทางโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนของภาครัฐ

ดร. วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม โดยนักลงทุนรายย่อย ให้การตอบรับอย่างล้นหลาม จากการสอบถามนักลงทุน ทราบว่านักลงทุนสนใจ ACE มากจาก ปัจจัยบวก 6 ประการคือ

  1. ACE มีรายได้ที่แน่นอน และมั่นคงจากสัญญาขายไฟฟ้าในระยะยาวให้ กฟภ. และ กฟผ. ในราคาที่แน่นอนและมีกำไรดี จึงไม่มีปัจจัยเสี่ยงเรื่องการตลาดและการเรียกเก็บหนี้
  2. ACE มี High Growth และ Low Risk โดยมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง มีรายได้ กำไรสุทธิ ผลตอบแทนในสินทรัพย์ และผลตอบแทนในการลงทุนที่มีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง อันต่อเนื่องจากที่มีสัญญาขายไฟฟ้าอยู่ในมือ โดยมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและอยู่ระหว่างรอการพัฒนา รวมอีกกว่า 200 เมกะวัตต์
  3. ACE มีพื้นฐานทางธุรกิจ ที่แข็งแกร่ง ทั้งทางด้านเทคโนโลยี ประสบการณ์ บุคลากร เงินทุน และผลประกอบการที่โดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา (Past Record) อีกทั้งยังมีการวิจัยและพัฒนา เพื่อลดต้นทุน และเพิ่มศักยภาพในการทำกำไรอย่างต่อเนื่อง
  4. ACE ทำธุรกิจที่สอดคล้องกับ World Mega Trend เป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูงมาก และเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มกำลังจะไป ทดแทนธุรกิจพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ในอนาคตอันใกล้
  5. ACE ได้รับผลบวกจากอัตราดอกเบี้ยขาลง ทำให้มีโอกาสที่ต้นทุนทางการเงินของ ACE ลดลง อีกทั้งจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ลดลง ACE จึงเป็นแหล่งลงทุนที่มีความมั่นคง มีความเสี่ยงน้อย และมีศักยภาพในการเติบโต ซึ่ง ACE มีความโดดเด่น เป็นพิเศษ ในคุณลักษณะ ที่นักลงทุนค้นหา
  6. ACE มีศักยภาพในการแข่งขันที่จะได้สัญญาขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จากการที่หน่วยงานภาครัฐ มีแผนเปิดให้เอกชนยื่นประมูลในโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลเสนอขายไฟฟ้าชุมชนจำนวน 4,100 MW เนื่องจาก ACE มีรากฐานที่มั่นคงและมีความพร้อมในทุกๆ ด้าน

จากปัจจัยต่างๆ ข้างต้น นักลงทุนคาดว่าจะให้ความสนใจในหุ้นของ ACE ต่อเนื่องไปจนถึงภายหลังจากการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ และในกรณีบริษัทเติบโตขึ้นในอนาคตตามแผนที่วางไว้ ก็จะทำให้ ACE มีโอกาสที่จะเติบโตเพิ่มขึ้นจนติดอันดับ SET 50 ในอนาคต ทำให้ ACE น่าจะต้องจับตามองจากนี้เป็นต้นไป นางสาวจิรฐา ทรงเมตตา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ACE บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรายใหญ่ของประเทศไทยและเป็นผู้นำด้านพลังงานสะอาด (The Clean Energy Leader) กล่าวว่า มีความยินดีที่นักลงทุนรายย่อยให้การตอบรับที่ดีในการเสนอขายหุ้น IPO ของบริษัทฯ จำนวน 1,018 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 10.00 ของหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยภายหลังจากการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ บมจ.แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ จะมีทุนจดทะเบียนและชำระแล้ว 5,087,999,980 บาท ประกอบด้วย หุ้นสามัญจำนวน 10,175,999,960 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท และมีสัดส่วน free float รวมประมาณร้อยละ 22

ทั้งนี้ ในปัจจุบันบริษัทฯ มีรายได้จากโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว 13 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 211.18 เมกะวัตต์ มีปริมาณไฟฟ้าเสนอขายตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รวม 166.5 เมกะวัตต์ และมีโครงการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการพัฒนา อยู่ระหว่างขอคืนสัญญาขายไฟฟ้า และอยู่ระหว่างพิจารณาความเหมาะสมการเข้าซื้อหุ้น รวมทั้งสิ้น 20 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 210.19 เมกะวัตต์ และมีปริมาณไฟฟ้าเสนอขายตามสัญญา PPA กับ กฟผ. และ กฟภ. รวม 168.71 เมกะวัตต์ โดยมีเป้าหมายขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าในไทยและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งรวมเป็นกว่า 1,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2567

นายธนะชัย บัณฑิตวรภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ACE กล่าวว่า ส่วนผลการดำเนินงานในปี 2559 – 2561 บริษัทฯ มีรายได้รวม 2,161 ล้านบาท 4,346 ล้านบาท และ 4,849 ล้านบาท เติบโตอย่างต่อเนื่องตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ประมาณ 50% และมีกำไรสุทธิ 134 ล้านบาท 334 ล้านบาท และ 547 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็น CAGR ประมาณ 102% ส่วนผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี 2562 มีรายได้รวม 2,555 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 342 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีอัตราเติบโตของผลตอบแทนบน Fixed Asset (Return on Fixed Asset) โดยในปี 2559 – 2561 มีอัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 4.1% 8.1% และ 12.4% ตามลำดับ และในช่วงไตรมาส 2/2562 เพิ่มขึ้นเป็น 16%

ACE มีความมุ่งมั่นและยึดหลักการ ที่ว่า “มากกว่าการเพิ่มรายได้ คือการเพิ่มพูนกำไรสุทธิ มากกว่าการเพิ่มพูนกำไรสุทธิ คือ การเพิ่มพูนผลตอบแทนจากการลงทุนของบริษัท มากกว่าการเพิ่มพูนผลตอบแทนจากการลงทุนของบริษัท คือการเพิ่มพูนผลตอบแทนจากทรัพย์สินของบริษัท และมากกว่านั้น คือการเพิ่มพูนผลตอบแทนที่ดี ให้แก่ผู้ถือหุ้น”