ACE เตรียมพร้อมประมูลรฟ. ขยะชุมชน

กรุงเทพ​ฯ 12 พ.ย.-ACE เตรียมพร้อมประมูลรฟ.ขยะชุมชน.. ส่วนไตรมาส3/64กำไรสุทธิ 411.2 ล้านบาท ด้าน CKPower โตต่อเนื่อง กำไรทำนิวไฮที่ 1,235 ล้านบาท ด้านบ้านปูอานิสงส์ถ่านหินแพง กำไรสุทธิ 106 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 763 สร้างรายได้หลักจากพลังงานสะอาด มุ่งสู่สังคมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

นายธนะชัย บัณฑิตวรภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ACE กล่าวว่า บริษัทเตรียมที่จะเข้าร่วมประมูลโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชนของภาครัฐอีกหลายโครงการ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรอการเปิดประมูลในหลายๆ พื้นที่ ซึ่งหากเปิดประมูลเมื่อใดก็พร้อมที่จะเข้าร่วมแน่นอน เพราะมั่นใจในโมเดลต้นแบบโรงไฟฟ้าขยะชุมชนของบริษัทฯ ที่ได้รับการยอมรับจากชุมชนและหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งมีความพร้อมด้านเงินลงทุน เทคโนโลยีและประสบการณ์ โดยเมื่อรวมกับโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ๆ หลายโครงการที่มีการลงนามสัญญาไปก่อนหน้าซึ่งยังอยู่ระหว่างการพัฒนาก็จะช่วยหนุนให้ ACE มีรายได้และผลกำไรที่เติบโตมั่นคงในระยะยาวได้อย่างแน่นอน

ทั้งนี้​ ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) 5พ.ย.64 เห็นชอบรับซื้อไฟฟ้าจากขยะชุมชนในรูปแบบ การให้เงินสนับสนุนตามต้นทุนที่แท้จริง หรือ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565 กำหนดอัตราสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) อยู่ภายใต้กรอบอัตราค่าไฟฟ้าสูงสุดที่ 5.08 บาทต่อหน่วย (FiT Premium 8 ปี 0.70 บาท/หน่วย) ส่วนผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) กำลังผลิตติดตั้งมากกว่า 10-50 เมกะวัตต์ ภายใต้กรอบอัตราค่าไฟฟ้าสูงสุดที่ 3.66 บาทต่อหน่วย และระยะเวลาการสนับสนุน 20 ปี

นายธนะชัย ยังเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2564 ว่าบริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการ 1,467.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.9% จากไตรมาส 2/2564 และเติบโต 14.1% จากงวดเดียวกันปีก่อน ขณะที่มีกำไรสุทธิ 411.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.2% จากไตรมาส 2/2564 และเพิ่มขึ้น 0.2% จากงวดเดียวกันปีก่อน โดยเป็นผลมาจากกำลังการผลิตที่เพิ่มมากขึ้น การเดินเครื่องจักรโรงไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน

ด้านผลงานงวด 9 เดือนแรกปี 2564 กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,138.0 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากงวดเดียวกันปีก่อนที่ทำได้ 1,253.6 ล้านบาท ส่วนกำไรปกติ (Core Profit) ทำได้ 985.0 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากงวด 9 เดือนแรกปี 2563 ที่ทำได้ 1,031.9 ล้านบาท เนื่องจากปีนี้มีต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นจากการเบิกเงินกู้เพื่อใช้ลงทุนโครงการใหม่ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและการก่อสร้าง อาทิ โครงการโรงไฟฟ้า SPP Hybrid คลองขลุง โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล VSPP คลองขลุง เป็นต้น

นายธนะชัยคาดช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ คาดผลประกอบการจะยังคงเติบโตได้ดีตามเป้า นอกจากนี้มีโอกาสสูงที่จะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล VSPP คลองขลุง ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 9.9 เมกะวัตต์เพิ่มอีกหนึ่งแห่งได้ทันในช่วงปลายปีนี้ ขณะเดียวกัน โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนจำนวน 18 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 59.00 เมกะวัตต์ ที่เพิ่งประมูลได้และอยู่ระหว่างการรอลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคนั้น ก็คาดว่าจะสามารถลงนามสัญญาได้ภายในวันที่ 21 มกราคม 2565 ตามกรอบระยะเวลาที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานได้กำหนดไว้

นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP” เปิดเผยว่าผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3/2564 และช่วง 9 เดือนของปี 2564 สามารถสร้างกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัทฯ เพราะปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดของทั้ง NN2 และ XPCL เป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทฯ วางไว้

โดย ไตรมาสที่ 3/64 มีรายได้รวม 2,508.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.7% และมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทฯ สูงถึง 1,234.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 403.6 ล้านบาท หรือ 48.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งถือเป็นกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัทฯ โดยการเติบโตของผลการดำเนินงานมาจากรายได้จากการขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำงึม 2 (NN2) จำนวน 998.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และที่สำคัญบริษัทฯ มีส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนเพิ่มขึ้น 49.8% โดยส่วนใหญ่มาจากการลงทุนในบริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด (XPCL) โดยมีปริมาณน้ำไหลผ่านโรงไฟฟ้าเฉลี่ยมากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้มีรายได้ 4,799 ล้านบาท และมีค่าใช้จ่ายทางการเงินลดลงจากการทยอยชำระคืนเงินต้นและอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ XPCL มีกำไรสุทธิสูงถึง 2,366 ล้านบาท อีกทั้ง CKPower ได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน XPCL เป็น 42.5% ตั้งแต่สิ้นไตรมาสที่ 2/2564 ทำให้รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก XPCL มากขึ้นอีกด้วย

ส่วนผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนของปี 2564 CKPower มีรายได้รวม 6,905 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,180.8 ล้านบาท หรือ 20.6% และมีกำไรสุทธิ 2,056.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,659.6 ล้านบาท หรือ 418.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งถือเป็นกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัทฯ เช่นกัน

นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ไตรมาส 3 ปี 2564 บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 1,161 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 38,218 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 147 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) รวม 530 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 17,432 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 72 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 106 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3,489 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 763

บ้านปูมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะจากกลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน จากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาถ่านหินและก๊าซธรรมชาติจากการฟื้นตัวของสถานการณ์โควิด-19 ในหลายประเทศ ประกอบกับการดำเนินการตามแผนเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตที่สามารถรองรับความไม่แน่นอน

นางสมฤดี กล่าวด้วยว่าบ้านปูยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนตามหลัก ESG ไปพร้อมกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญของประเทศไทยและระดับโลก โดยพร้อมให้การสนับสนุนความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทย และรัฐบาลในทุกประเทศที่บ้านปูเข้าไปดำเนินธุรกิจ รวมทั้งร่วมมือกับประชาคมโลกเพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC COP) สมัยที่ 26 หรือ COP26 โดยบริษัทฯ จะดำเนินมาตรการในด้านต่าง ๆ เพื่อลดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง และมุ่งลงทุนในธุรกิจพลังงานที่สะอาดขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมตั้งเป้าหมายการมี EBITDA จากธุรกิจพลังงานที่สะอาดขึ้นและเทคโนโลยีพลังงานในสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 50 ภายในปี 2568.-สำนักข่าวไทย

ที่มา : tna.mcot.net